
บนโลกใบนี้มีเรื่องที่น่ารู้มากมาย หลายๆ คนอาจจะสนใจเรื่องที่เป็นที่สุดในโลก วันนี้กระปุกเราเลยไม่พลาดที่จะนำเรื่องที่เป็นที่สุดมานำเสนอให้ได้อ่านกันค่ะ นั่นแน่! อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าอะไรที่สุด ก็เรื่องประเทศที่เล็กที่สุดในโลกน่ะสิคะ ตามมาดูกันเลยค่ะ ว่าจะมีประเทศที่คุณรู้จักกันบ้างไหม...
1. นครรัฐวาติกัน นครรัฐวาติกัน เป็นประเทศศูนย์กลางของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี มีเนื้อที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร (เล็กมากๆ ) มีประชากรทั้งหมดเพียงแค่ 783 คนเองค่ะ ซึ่งล้วนแต่เป็นบาทหลวง, นักบวช และเจ้าหน้าที่ที่นับถือนิกายคาธอลิคล้วนๆ ค่ะ
ถึงแม้จะเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก แต่ก็เป็นที่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกของชาวศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค เพราะเป็นที่พำนักของพระประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์นิกายนี้ และเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ อะไรก็ตามของชาวคาธอลิค ก็มักจะจัดขึ้นที่นี่เสมอ
นครรัฐแห่งนี้ถูกสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2472 ภายใต้สนธิสัญญา Lateran ( ซึ่งถุกอนุมัติโดย เบนิโต มุสโสลินี หนึ่งในนักเผด็จการชื่อดังของโลก) และปกครองแบบอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งนิติบัญญัติ, บริหาร และตุลาการโดยพระสันตะปาปา
นครรัฐวาติกันไม่มีประชาชนถาวร สถานะการเป็นประชาชนของที่นี่ คือ การเข้ามาทำงานในหน้าที่ต่างๆ ในนครรัฐ (รวมไปถึงคู่สมรสและบุตรธิดาของเจ้าหน้าที่คนนั้น) และสถานะการเป็นประชากรของนครรัฐจะสิ้นสุดลงเมื่อหมดวาระการทำงาน
ที่แห่งนี้คุ้มครองเขตรัฐโดยทหารสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองกำลังที่มีชื่อเก่าแก่ที่สุดในโลก โดยทหารเหล่านี้จะเป็นชายชาวสวิส ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค และยังไม่แต่งงานเท่านั้นค่ะ
ภาษาหลักของที่นี่ คือ ภาษาอิตาเลียนและภาษาละติน และที่สุดยอดไปเลย คือ ที่นี่เป็นที่แห่งเดียวในโลกที่ตู้เอทีเอ็มนั้นเป็นภาษาลาติน!! มากไปกว่านั้น ที่นี่เป็นที่แห่งหนึ่งในโลกที่มีจดหมายเข้ามากที่สุด และส่งถึงมือผู้รับเร็วที่สุดในโลกก็ว่าได้ และเป็นที่ที่ส่งจดหมายออกมากที่สุดอีกแห่งของโลกด้วย (1 คน ส่งจดหมาย 7,200 ฉบับ ต่อปี)
ความสุดยอดไม่ได้มีเพียงเท่านั้น นครรัฐวาติกันยังมีความสุดยอดในเรื่องเทคโนโลยีอีกด้วย เพราะมีชื่อโค้ดโดเมนเนมเป็นของตัวเอง .va ถึง 9 โดเมนเนม (เชื่อว่าหลายๆ ประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าวาติกันยังไม่มีเป็นของตัวเองเลย) และมีสถานีวิทยุที่ชื่อว่า "Vatican Radio" ซึ่งจัดรายการโดยเจ้าพ่อวิทยุ Guglielmo Marconi ซะด้วย เท่ซะไม่มี...
และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงสงสัยว่านครรัฐวาติกันมีรายรับมาจากไหนกันน๊า เพราะประเทศแห่งนี้ไม่ได้มีการค้า หรือการพาณิชย์ใดๆ กับประเทศภายนอก และแม้กระทั่งภายในประเทศเลย คำตอบง่ายๆ คือ ประเทศแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนรายได้ที่มาจากการขายสแตมป์, หนังสือ และรายได้จากการท่องเที่ยว จากชาวคาธอลิคทั่วโลกนั่นเองค่ะ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ที่นครรัฐแห่งนี้ ไม่มีการเก็บภาษีค่า

ถึงแม้จะเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก แต่ก็เป็นที่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกของชาวศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค เพราะเป็นที่พำนักของพระประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์นิกายนี้ และเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ อะไรก็ตามของชาวคาธอลิค ก็มักจะจัดขึ้นที่นี่เสมอ
นครรัฐแห่งนี้ถูกสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2472 ภายใต้สนธิสัญญา Lateran ( ซึ่งถุกอนุมัติโดย เบนิโต มุสโสลินี หนึ่งในนักเผด็จการชื่อดังของโลก) และปกครองแบบอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งนิติบัญญัติ, บริหาร และตุลาการโดยพระสันตะปาปา
นครรัฐวาติกันไม่มีประชาชนถาวร สถานะการเป็นประชาชนของที่นี่ คือ การเข้ามาทำงานในหน้าที่ต่างๆ ในนครรัฐ (รวมไปถึงคู่สมรสและบุตรธิดาของเจ้าหน้าที่คนนั้น) และสถานะการเป็นประชากรของนครรัฐจะสิ้นสุดลงเมื่อหมดวาระการทำงาน
ที่แห่งนี้คุ้มครองเขตรัฐโดยทหารสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองกำลังที่มีชื่อเก่าแก่ที่สุดในโลก โดยทหารเหล่านี้จะเป็นชายชาวสวิส ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค และยังไม่แต่งงานเท่านั้นค่ะ
ภาษาหลักของที่นี่ คือ ภาษาอิตาเลียนและภาษาละติน และที่สุดยอดไปเลย คือ ที่นี่เป็นที่แห่งเดียวในโลกที่ตู้เอทีเอ็มนั้นเป็นภาษาลาติน!! มากไปกว่านั้น ที่นี่เป็นที่แห่งหนึ่งในโลกที่มีจดหมายเข้ามากที่สุด และส่งถึงมือผู้รับเร็วที่สุดในโลกก็ว่าได้ และเป็นที่ที่ส่งจดหมายออกมากที่สุดอีกแห่งของโลกด้วย (1 คน ส่งจดหมาย 7,200 ฉบับ ต่อปี)
ความสุดยอดไม่ได้มีเพียงเท่านั้น นครรัฐวาติกันยังมีความสุดยอดในเรื่องเทคโนโลยีอีกด้วย เพราะมีชื่อโค้ดโดเมนเนมเป็นของตัวเอง .va ถึง 9 โดเมนเนม (เชื่อว่าหลายๆ ประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าวาติกันยังไม่มีเป็นของตัวเองเลย) และมีสถานีวิทยุที่ชื่อว่า "Vatican Radio" ซึ่งจัดรายการโดยเจ้าพ่อวิทยุ Guglielmo Marconi ซะด้วย เท่ซะไม่มี...
และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงสงสัยว่านครรัฐวาติกันมีรายรับมาจากไหนกันน๊า เพราะประเทศแห่งนี้ไม่ได้มีการค้า หรือการพาณิชย์ใดๆ กับประเทศภายนอก และแม้กระทั่งภายในประเทศเลย คำตอบง่ายๆ คือ ประเทศแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนรายได้ที่มาจากการขายสแตมป์, หนังสือ และรายได้จากการท่องเที่ยว จากชาวคาธอลิคทั่วโลกนั่นเองค่ะ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ที่นครรัฐแห่งนี้ ไม่มีการเก็บภาษีค่า


2. ราชรัฐโมนาโก เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ ประเทศโมนาโก มาบ้าง ก็ประเทศนี้มีทั้งเจ้าชาย เจ้าหญิง หล่อๆ สวยๆ และมีพระปรีชาสามารถเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลกหลายพระองค์ ยกตัวอย่าง เช่น เจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ที่ทรงพระสิริโฉมงดงาม เจ้าหญิงแคโรลีนพระธิดาในเจ้าหญิงเกรซที่ทรงพระสิริโฉมงดงามไม่แพ้พระมารดา ตามมาด้วย เจ้าหญิงสเตฟานี พระขนิษฐาผู้ทรงโฉมเช่นกัน และ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งโมนาโก ผู้ซึ่งเป็นพระธิดาของเจ้าหญิงแคโรลีน ก็ทรงพระสิริโฉมงดงามไม่แพ้พระมารดาและพระมาตุจฉา เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 เจ้าชายเรนีเย่ เจ้าชายอัลเบิร์ต และเจ้าชายเรนีย่ที่ 3 ที่ทรงวพระปรีชาสามารถในการปกครองประเทศให้เป็นประเทสที่มั่งคั่งที่สุดอีกประเทศในโลก (หลังจากเคยเป็นแค่ราชรัฐหนึ่งของฝรั่งเศส) เป็นต้น แถมยังมีชื่อเสียงมาจากการจัดการแข่งรถกรังปรีซ์ ในชื่อ Monaco Grand Prix และยังมีเขตกาสิโนชื่อดังที่มีชื่อว่า Monte Carlo อีกต่างหากค่ะ
ประเทศโมนาโก เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เป็นอันดับ 2 รองลงมาจากนครรัฐวาติกัน โดยมีพื้นที่ 1.96 ตารางกิโลเมตร อยู่ตรงชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน แต่เป็นประเทศที่มีประชากรต่อพื้นที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีประชากรอาศัยอยู่ถึง 23,660 คนต่อตารางกิโลเมตร ในอดีต ประเทศแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส แต่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เจ้าชายเรนีเย่ที่ 3 ได้ยื่นขอต่อสหประชาชาติ เพื่อเข้าร่วมองค์กร และได้รับการอนุมัติ จึงได้อิสระ (แบบไม่ถาวร) จากฝรั่งเศสนับแต่บัดนั้น หากแต่ถ้าโมนาโกไม่มีผู้สืบสันตติวงศ์ต่ออีกแล้ว ประเทศแห่งนี้ก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ใต้ปกครองต่อฝรั่งเศสตามเดิมค่ะ ดังนั้น จึงมีการแก้กฎหมายจากเดิมว่า ผู้สืบทอดราชวงศ์ต้องเป็นเจ้าชายเท่านั้น เป็นให้ขัตติยนารีสามารถขึ้นครองราชย์ได้ด้วย เพื่อแก้ปัญหาการต้องกลับเข้าไปอยู่ใต้ปกครองเหมือนเดิม
ประเทศแห่งนี้ปกครองด้วยระบบประมุขและสภาแห่งชาติ มีรายได้หลักจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยว สถานบันเทิง สถานกาสิโนและการแข่งรถนานาชาติ และเนื่องจากเมื่อก่อนโมนาโกไม่มีการเก็บภาษี ประชากรส่วนมากจึงไม่ใช่ชาวพื้นเมือง แต่หลังจากการแยกตัวจากฝรั่งเศส ก็ได้มีการเก็บภาษีรายได้จากผู้ที่ไม่ใช่ชาวโมนาโกโดยกำเนิด พูดง่ายๆ คือนักธุรกิจที่มาลงทุนและพักอาศัยอยู่ในโมนาโก และมีกฎห้ามชาวโมนาโกโดยกำเนิดเข้ากาสิโน แต่ยกเว้นภาษีจากพวกบุคคลเหล่านี้แทน


ในอดีตรายได้หลักของประเทศมาจากแร่ฟอสเฟต ที่เกิดมาหลายพันปีจากขี้นก (เหลือเชื่อมากๆ) มีการส่งออกแร่ฟอสเฟตในอัตราที่สูงมาก จึงส่งผลให้ประชากรของที่นี่กินดีอยู่ดี เรียกกันได้ว่า ได้ดีเพราะขี้นกจริงๆ อิอิ
รัฐบาลมีการจ้างงานประชาชนถึง 95 เปอร์เซนต์ ให้สวัสดิการการรักษาโรคและการศึกษาฟรีแก่ประชากรในประเทศ พูดได้เลยว่าที่นี่เป็นเหมือนกับสวรรค์น้อยๆ บนผืนดิน เพราะเป็นประเทศที่ประชากรร่ำรวยติดอันดับในโลกเลยทีเดียว ถึงขั้นที่ว่าประธานาธิบดีคนก่อนๆ ของประเทศมักจะนั่งเครื่องของ Air
อย่างไรก็ตาม แร่ฟอสเฟตที่ดูเหมือนจะเป็นบ่อเงินบ่อทองสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับชาวนาอูรู เนื่องจาก ผืนดินสะสมแร่ฟอสเฟตมากจนเกินไป จนแห้งแล้งและไม่สามารถปลูกพืชผลใดๆ ได้ ทั้งการลงทุนที่เปล่าประโยชน์ของประเทศ เช่น การไปซื้อกิจการโรงแรมแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไร้ประโยชน์ รวมถึงการขาดคุณสมบัติในการปกครองบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจของนาอูรูแย่ลง เหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งทวีคูณหนักเข้าไปอีก เพราะภาวะการกินอยู่ที่เคยอุดมสมบูรณ์มาก ก่อให้เกิดภาวะโรคอ้วนกับประชากรในประเทศ ประชากร 9 ใน 10 คนมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน นาอูรูกลายเป็นประเทศที่มีประชากรเป็นโรคเบาหวานในอัตราสูงมากประเทศหนึ่งในโลกเลยทีเดียว
ดังนั้นในปัจจุบัน ชาวนาอูรูจึงมีความอัตคัตขัดสนมากๆ และยังมีภาวะโรคอ้วนด้วย แต่พวกเขาก็ได้พยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น รัฐบาลนาอูณูตัดสินใจเก็บภาษีและ ออกพาสปอร์ตให้กับชาวต่างชาติแลกกับเงินตราเพื่อมาหมุนเวียนภายในประเทศ แต่การแก้ปัญหานี้กลับลากตัวปัญหา เช่นพวกอาชญากรข้ามชาติเข้ามาในประเทศเพื่อฟอกเงินทุจริต และด้วยเหตุนี้เองนาอูรูก็ต้องประสบกับปัญหาใหญ่หลวง คือ ธนาคารใหญ่ระดับโลกหลายแห่งไม่ยินดีรับเงินที่นาอูรูจะมาฝากไว้ เนื่องจาก เงินเหล่านั้น อาจจะสร้างปัญหาแก่ธนาคารได้


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตูวาลูเคยเป็นที่ตั้งฐานทัพของทหารอเมริกัน ที่เข้ามาสร้างทั้งฐานทัพ สนามบิน ซึ่งคุณสามารถเห็นซากปรักหักพังในปัจจุบันของสิ่งเหล่านี้ได้บนเกาะต่างๆ ของตูวาลู
ทุกวันนี้ ตูวาลูมีรายได้หลักจากการให้เช่าโดเมนเนม .tv ที่เป็นโดเมนเนมระดับท็อปของโลก เพราะคนเข้าใจว่ามันเป็นตัวย่อมาจากคำว่า Television และรายได้จากสัมปทานการประมง รวมไปถึงเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ


ซานมาริโนก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 844 โดยนักตัดหินชาวคริสต์ นามว่า "มาริโน" ได้ลี้ภัยทางศาสนามากับกลุ่มชาวคริสต์กลุ่มหนึ่ง
ความเชื่อที่สำคัญของชาวซานมาริโน คือ อิสรภาพ ชาวซานมาริโนเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และกองทัพใหญ่ๆ ไม่สามารถรุกรานอธิปไตยจะได้เนื่องมาจากที่ตั้งของประเทศอยู่บนเขา ดูตัวอย่างตอนที่นโปเลียนประกาศความเป็นใหญ่ในทวีปยุโรป ประเทศเดียวที่ไม่ตกอยู่ใต้การปกครองของนโปเลียนคือ ซานมาริโน นี่เอง
ซานมาริโนมีระบบการปกครองที่ซับซ้อนมาก โดยมีการปกครองแบบสาธารณรัฐโดยสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกตัวแทนจากสภามาจำนวน 2 คน มาเป็นผู้สำเร็จราชการร่วม หรือประมุขของประเทศอยู่ในตำแหน่งวาระ 6 เดือน และสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกคณะรัฐบาล มาบริหารประเทศวาระละ 5 ปี
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซานมาริโนกลายเป็นประเทสที่ยากจนที่สุดในยุโรป แต่ในทุกวันนี้ ประชากรชาวซานมาริโนกลายมาเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่ง เนื่องมาจากการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศกว่า3 ล้านคนต่อปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น